จากเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่เกือบไม่ได้เรียนต่อ เพราะครอบครัวยากจน พ่อแม่มีรายได้จากการทำไร่ และยังต้องส่งเรียนลูกทั้งสามคนเรียนหนังสือ “นิษาชล วงค์อนุ” หรือ “น้ำ” เคยคิดว่าความฝันเรื่องการเรียนต่อคงต้องหยุดไว้แค่ชั้นมัธยมต้น จนวันที่คุณครูได้เข้ามาแนะนำให้สมัครขอทุนการศึกษาสายอาชีพ จากมูลนิธิยุวพัฒน์
“ครูบอกว่าหนูเป็นเด็กเรียนดีและขยันทำกิจกรรม และแนะนำให้สมัครขอทุนการศึกษาดู ก็เลยเขียนเรียงความส่งไปแล้วก็ได้ทุนการศึกษาสายอาชีพจริงๆ ตอนนั้นดีใจมากที่จะได้เรียนต่อแล้ว ไม่ได้ลำบากพ่อแม่”
ทุนการศึกษาครั้งนั้นไม่เพียงช่วยแบ่งเบาภาระของพ่อแม่ แต่ยังเปิดเส้นทางใหม่ให้ได้ค้นพบตัวเองใน “สายอาชีพโยธา” จากเด็กเทคนิคที่เคยออกแบบถนน ตอนนี้กลายเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ในสกลนคร ที่ใช้ความรู้เดิมมาออกแบบชีวิตจริงบนผืนดินของตัวเอง
การเลือกเรียนสายอาชีพของน้ำไม่ได้เกิดจากความบังเอิญ แต่มาจากการคิดคำนวณถึงอนาคตอย่างรอบคอบ
“ถ้าเรียนจบสายสามัญ ได้รับวุฒิ ม.6 ตอนนั้นคิดว่าน่าจะไม่มีที่ไหนรับทำงาน แต่ถ้าเรียนสายอาชีพจะมีวุฒิเทียบเท่า จบ ปวส. ก็อาจจะรับทำงานได้ง่ายกว่า”
คำแนะนำของแม่ยิ่งทำให้น้ำมั่นใจในทางเลือกนี้มากขึ้น แม่บอกว่าถ้าเรียนสายนี้จะมีงานทำ ไม่ได้มาทำไร่ทำนา ได้รับราชการในหน่วยงานราชการ น้ำจึงเลือกเรียนสาขาโยธาที่วิทยาลัยเทคนิคสกลนคร โดยมีทุนการศึกษาช่วยเหลือค่าอุปกรณ์การเรียน ชุดนักเรียน ค่าเทอม และค่าใช้จ่ายประจำวัน ทำให้ภาระของครอบครัวเบาบางลง
เหตุผลที่น้ำเลือกเรียนสาขาโยธา เพราะสนใจงานภาคปฏิบัติ ชอบลงมือทำมากกว่านั่งอยู่ในห้องเรียน ทุกวันที่ได้ออกภาคสนาม วัดระยะ ถอดแบบ หรือเรียนรู้วิธีวางโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้รู้ว่าความรู้สายอาชีพไม่ได้จำกัดแค่ในโรงเรียน แต่นำไปใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน
“สนุกมาก มีเพื่อน ได้ออกแบบงาน ออกแบบถนน คำนวนฐานรากการสร้างบ้าน ทำงานปูน ได้ฉาบปูน งานไม้ก็ได้ทำเก้าอี้ ทำโต๊ะ ได้ทำกิจกรรมมากมาย มีความสุขมาก”
การฝึกงานคือบทเรียนที่มีค่าที่สุด ช่วง ปวช. น้ำได้ฝึกงานที่แขวงทางหลวงสกลนคร งานอำนวยความปลอดภัยฝ่ายจราจร
“ต้องออกแบบฟอนต์ตัวหนังสือในคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปติดตั้ง ไม่ง่ายเลยเหมือนการตัดสติกเกอร์ปกติ แต่จะมีขั้นตอนโดยเฉพาะ”
เมื่อเรียนต่อ ปวส. น้ำได้ฝึกงานด้านงานวางแผน ได้ดูการทำสะพาน การวัดท่อน้ำ และได้รู้ว่าเอาท่อลงแต่ยังต้องกดดินให้ได้ความหนาแน่นก่อน ถึงจะทำขั้นตอนต่อไป ความละเอียดในงานโยธาที่ไม่เคยรู้มาก่อนกลายเป็นบทเรียนสำคัญมากสำหรับเธอ
น้ำพูดถึงโครงการจบด้วยความภูมิใจ โครงการที่เลือกทำคือ การเปรียบเทียบความหนาแน่นของกระเบื้องกับเศษแก้วเพื่อนำเศษกระเบื้องมาแทนหินในงานก่อสร้าง ทดสอบโดยการแช่น้ำ แล้วมาทำการกด พิสูจน์ว่าสิ่งไหนจะทดแทนหินได้ดีกว่ากัน ผลออกมาเศษกระเบื้องทดแทนหินได้โครงการนี้ไม่เพียงทำให้น้ำจบการศึกษา แต่ยังเป็นตัวอย่างของการนำความรู้ไปใช้แก้ปัญหาจริง กลายเป็นประสบการณ์ที่จดจำมาจนถึงทุกวันนี้
“ตอนนั้นทำเรื่องเปรียบเทียบความหนาแน่นของกระเบื้องกับเศษแก้ว เพื่อใช้แทนหิน ทดสอบแช่น้ำ วัดผล ปรากฏว่าเศษกระเบื้องแทนหินได้ เวลาเทพื้นที่ไม่ต้องรับน้ำหนักมากก็ใช้ได้ดี”
แม้จะวางแผนจะทำงานในหน่วยงานราชการตามที่เรียนมา แต่ชีวิตก็นำพาน้ำไปอีกทิศทาง เธอตัดสินใจกลับบ้านมาช่วยครอบครัว
“ปวส. 1 ก็เริ่มมีปัญหา พ่อเป็นโรคเก๊าทำงานได้แค่ 2-3 วันเดินไม่ได้ กรดยูริกสูง นอนเพราะขยับตัวไม่ได้ แม่ก็แก่ลง ต้องส่งน้องอีกสองคนเรียน คิดว่าถ้าไปทำงานข้างนอก แม่จะลำบาก เลยเลือกกลับมาเป็นเกษตรกรต่อยอดจากพ่อแม่”
จากวันที่เคยคำนวณฐานรากของอาคารและออกแบบถนนในห้องเรียน วันนี้กลับมาคำนวณระยะของร่องมันสำปะหลังและจำนวนปุ๋ยต่อไร่แทน ความรู้ทางช่างที่เคยได้เรียนกลายเป็นเครื่องมือสำคัญในอาชีพเกษตรกรรม ทั้งการวัดพื้นที่ปลูก การคำนวณอัตราส่วนของปุ๋ย การกะปริมาณวัสดุปูผ้ายางกันหญ้าให้พอดีกับแปลง ทุกขั้นตอนเต็มไปด้วยหลักคิดแบบวิศวกรรมที่เคยฝึกฝนในวิทยาลัย เพียงแต่สนามชีวิตเปลี่ยนจากไซต์ก่อสร้างมาเป็นผืนไร่
ปัจจุบันน้ำเป็นเกษตรกรมา 3 ปีแล้ว ดูแลสวนยางพาราที่พ่อปลูกไว้ก่อนป่วย ปลูกมันสำปะหลัง ทำนา และปลูกผักหลากหลายชนิด ทั้งผักบุ้ง คะน้า บวบ ฝักทอง พริก เพื่อเป็นรายได้หมุนเวียนในระหว่างรอผลผลิตหลัก สิ่งที่น่าสนใจคือความรู้จากสาขาโยธากลับมามีบทบาทสำคัญในการทำเกษตร
“ความรู้ที่เคยเรียนช่วยได้มาก อย่างเวลาคิดจะปลูกมันสำปะหลัง เราก็คำนวณพื้นที่ คำนวณปุ๋ย ต้องใช้กี่ไร่ต่อกระสอบ การผสมปูนที่เคยเรียนก็เหมือนการผสมปุ๋ยอย่างไรให้ผลผลิตไม่ตาย เวลาจะใช้วัสดุอะไรก็ต้องคำนวน หรือจะปูผ้ายางกันหญ้า ต้องวัดระยะก่อนซื้อผ้ายางเท่าไหร่ถึงจะพอกับพื้นที่ที่จะปลูกพืช”
น้ำเชื่อมั่นว่าหากวันนั้นไม่ได้เลือกเรียนสายอาชีพ เส้นทางชีวิตคงไม่เป็นอย่างในวันนี้ การเรียนสายช่างสอนให้เธอกล้าคิด กล้าลอง และกล้าผิดพลาด ด้วยความรู้ที่ต้องลงมือปฏิบัติจริง ทำให้เธอเข้าใจว่าการเรียนรู้ไม่ได้อยู่แค่ในตำรา แต่เกิดขึ้นจากการลงมือทำและการแก้ปัญหาหน้างาน เธอใช้ทักษะที่ได้จากห้องเรียนมาปรับใช้กับการทำเกษตรได้อย่างเป็นธรรมชาติ ตั้งแต่การคำนวณ การวางแผน ไปจนถึงการสังเกตผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำ
“ช่วงแรกของการทำเกษตรไม่ง่ายเลย อย่างผักบุ้ง ตอนแรกปลูกแล้วหนอนกินเพราะฝนตก ปีต่อมาปรับเวลาใหม่ ผลผลิตดีขึ้น ปลูกพริกก็ใช้ปูนขาวผสมน้ำฉีดฆ่าเชื้อรา มันสำปะหลังก็ได้หัวใหญ่ขึ้น ยางพาราก็ใช้ปุ๋ยคอกแทนเคมีจากมูลวัวที่เลี้ยงไว้ ปีแรกปลูกพืชแล้วเป็นโรค ปีที่สองก็ยังไม่ดี แต่ไม่ท้อ ทำใหม่อีก จนปีที่สามสำเร็จ พืชไม่เป็นโรค ผลผลิตดีขึ้น เห็นพัฒนาการของตัวเองทุกปี”
ตอนนี้น้ำเริ่มประสบความสำเร็จ ผักบุ้งได้ราคาดีหลังจากปรับเวลาการปลูกให้เหมาะสม พริกสวยงามขึ้นหลังจากเรียนรู้ว่าต้องใช้ปูนขาวผสมน้ำฉีดพ้นเพื่อฆ่าเชื้อรา มันสำปะหลังมีขนาดมาตรฐานหลังจากใส่ปุ๋ยอย่างถูกวิธี ยางพาราให้น้ำยางเยอะขึ้นด้วยเทคนิคการใส่ปุ๋ยคอกจากมูลวัวควายที่เลี้ยงเอง
“รู้สึกชอบการเป็นเกษตรกรมากขึ้น เห็นผลผลิตงอกงามมันภูมิใจ เหมือนเราได้สร้างอะไรด้วยตัวเองจริง ๆ”
น้ำเล่าว่า มองย้อนกลับไปด้วยความเข้าใจว่า หากวันนั้นไม่ได้รับทุนการศึกษา ชีวิตอาจไม่เดินมาถึงจุดนี้ ทุนไม่ได้เพียงเปิดโอกาสให้ได้เรียนต่อ แต่ยังเปิดประตูให้เห็นคุณค่าของการศึกษาในฐานะเครื่องมือสร้างชีวิต การได้เรียนรู้ร่วมกับเพื่อน ครู และประสบการณ์จริง ทำให้ตระหนักว่าทุกช่วงเวลาของการศึกษาได้หล่อหลอมให้กลายเป็นคนที่เข้าใจชีวิตมากขึ้น ทั้งความรู้ ทักษะ และความพยายาม ล้วนกลายเป็นรากฐานของการยืนอยู่บนเส้นทางเกษตรกรในวันนี้อย่างภาคภูมิใจ
สำหรับน้อง ๆ ที่กำลังตัดสินใจเลือกเส้นทางการศึกษา น้ำอยากส่งต่อประสบการณ์ว่า การเรียนสายอาชีพคือทางเลือกที่มีตลาดรองรับ แม้เรียนเพียงระดับ ปวส. ก็สามารถมีวุฒิไปทำงานได้รวดเร็ว ที่สำคัญที่สุดคือการเรียนในสิ่งที่ตนเองชอบ เพราะเมื่อรู้ว่าต้องการทำอะไร การเรียนรู้จะเต็มไปด้วยความตั้งใจ และจะกลายเป็นก้าวแรกของการสร้างชีวิตด้วยตัวเอง

