ความรัก เป็นเรื่องสำคัญอีกเรื่องในชีวิตสำหรับวัยรุ่น เพราะวัยของพวกเขาจะให้ความใส่ใจกับตัวเอง รักสวยรักงาม พิถีพิถันกับการแต่งตัว เพื่อให้เป็นที่ยอมรับของเพื่อนหรือสะดุดตาเพศตรงข้าม วัยรุ่นจึงมักจะตกหลุมรักได้ง่ายๆ แต่ขณะเดียวกัน ความรักของพวกเขามักจะเป็นความรักที่ไม่มั่นคงยืนยาว

รู้จักกับมุมมองความรักที่ช่วยให้เราเติบโตและมีรักอย่างมีคุณค่า

แค่ปิ๊งกันไม่ได้หมายความว่า
เรารักกัน

ความรัก เป็นความต้องการพื้นฐานที่ทุกคนมีติดตัวมาตั้งแต่กำเนิด เป็นสิ่งที่คนต้องการอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ทุกคนอยากเป็นและพยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองเป็นที่รักของใครสักคน บางคนเปรียบเทียบความรักเหมือนการที่มีคนมาสูบลมให้หัวใจพองโต แต่เมื่อคนนั้นจากไป หัวใจที่พองโตก็แฟบลง อาการอกหักหนักมากจึงเกิดขึ้น

แล้วจะรักอย่างไร…เพื่อให้รักนั้นทำให้หัวใจของเราพองโตอยู่ตลอด?… จริงๆ แล้วมนุษย์สามารถที่จะฝึกฝนในการที่จะมีความรักและความรักเป็นสิ่งที่เรียนรู้ได้ แต่คนส่วนใหญ่มักมีปัญหาเรื่องความรัก เพราะพวกเขามองความรักในแง่มุมของ “คนที่ถูกรัก” มากกว่า “การที่เราจะรักเขา” พวกเขาจึงมักจะมีคำถามว่า “ทำอย่างไรฉันถึงจะเป็นที่รัก?” “ทำอย่างไรฉันถึงจะน่ารัก” เช่น พยายามที่จะประสบความสำเร็จ อยากจะสร้างชื่อเสียงหรือทำตัวให้มีเสน่ห์ ดูแลร่างกาย หาเสื้อผ้าที่ดูดีมาสวมใส่ เพื่อให้เป็นที่รักของใครๆ เปรียบเทียบได้กับเวลาที่เราเดินเลือกซื้อเสื้อผ้า เรามักตื่นเต้นเวลาเห็นสินค้าใหม่ๆ ที่โดนใจ ตัวสินค้าก็พยายามออกแบบให้ดึงดูด สะดุดตาเช่นเดียวกันกับเวลาเราเจอคนที่ถูกใจ เราจะรู้สึกปิ๊งและเข้าใจว่า “นี่แหละคือความรัก” เราเรียกสิ่งนี้ว่า “เรารักกัน”

ในช่วงแรกๆ เราจะหลงใหลกันและกัน และใช้ความรู้สึกนี้ยืนยันความรักว่า “ที่เรารักกันขนาดนี้ก็เพราะเรารักกัน” แต่จริงๆ แล้วความรู้สึกนี้เป็นเพียงความรู้สึกหนึ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่า ก่อนที่คนสองคนจะมาเจอกัน ทั้ง 2 คนนี้เป็นคนเหงา ความหมายของการเจอกันแล้วหลงใหลขนาดนี้ไม่ได้แสดงออกว่าเรารักกันอย่างแท้จริง แต่แสดงออกว่าเราปรารถนากัน เพราะว่า “เราเหงา” ซึ่งการเริ่มต้นความรักจากความเหงาจะนำพาความคาดหวังต่างๆ มาด้วย เช่น อยากให้อีกคนเป็นแบบนี้ ทำแบบนั้น จึงไม่แปลกที่ใครหลายคนจะผิดหวังจากความรัก เพราะความรักไม่สามารถตอบสนองความคาดหวังได้

ความรักที่ดี คือ การให้
โดยไม่เรียกร้องสิ่งใดกลับมา

ความรักไม่ใช่สิ่งสำเร็จรูป ไม่มีแบบแผน จึงเป็นสิ่งที่เราจะต้องเรียนรู้ ฝึกฝน และมีทักษะในการที่จะรัก ลองคิดดูว่า ถ้าเราไม่มีทักษะในการวาดรูปหรือการใช้สี แล้วเราจะวาดรูปให้สวยงามได้อย่างไร แช่นเดียวกันกับความรัก เราต้องเรียนรู้และฝึกฝน จึงจะสามารถวาดความรักที่สวยงามขึ้นมาได้ เมื่อเราจะเรียนรู้เกี่ยวกับความรัก เราต้องเข้าใจความรัก และการที่เราขะเข้าใจความรักได้นั้น เราต้องรู้จักรักตัวเองก่อน

ความรักแบบไหนที่ไม่ควรรัก

มีความรักแบบหนึ่งที่มักพบเห็นโดยทั่วไป คือ ความรักแบบพึ่งพา ความรักลักษณะนี้จะมีฝ่ายหนึ่งที่ยอมทุกอย่าง เวลาเขารักใคร เขาจะรู้สึกว่า เขาเป็นสมบัติของคนๆ นั้น และคนๆ นั้นสามารถชักนำ บงการ คล้ายๆ กับว่า เป็นเจ้าชีวิตของเขา ถ้าเรารักใครสักคนในรูปแบบนี้ เราจะรู้สึกว่าคนๆ นั้นคือทุกสิ่งทุกอย่าง ส่วนตัวเราเองไม่มีคุณค่าอะไรเลย เมื่อเรารักใครสักคนแบบพึ่งพา เราจะไม่รู้สึกเดียวดาย เพราะเรามีเป้าหมายว่าจะรัก จะดูแลคนๆ นั้นให้ดีที่สุด แต่สิ่งที่จะเกิดควบคู่กัน คือ ตัวเราเองไม่ไม่เป็นอิสระ เพราะชีวิตเราจะขึ้นอยู่กับเขาตลอดเวลา ถ้าเขาทำอะไรให้เราเจ็บช้ำน้ำใจ เราจะเจ็บปวดใจมาก

ส่วนคนที่เป็นฝ่ายที่ถูกรักมากๆ จะยกระดับตัวเอง สร้างความดึงดูด สร้างเสน่ห์ เพื่อให้คนอื่นมายกย่องเขา ความรักแบบพึ่งพามีลักษณะคล้ายกับการแลกเปลี่ยน คือ เมื่อเราทุ่มเท เราให้อีกคนไปมากขนาดนี้ ถ้าเขาไม่ให้อะไรกลับมาเลยหรือให้น้อยกว่า เราจะรู้สึกว่าไม่ยุติธรรม คนที่รู้จักความรักจริงๆ จะไม่ใช้ความรักเหมือนการแลกเปลี่ยน แต่เขาจะเป็นผู้ให้ความรัก ความรู้สึกดีๆ กับผู้อื่น โดยไม่เรียกร้องว่าจะต้องได้อะไรกลับมาจากคนที่เขารัก และคนที่รู้สึกรักแบบนี้จะรู้สึกว่า “การให้” เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ การให้ที่มีคุณค่ามากที่สุด คือ การให้ความใส่ใจ ให้ความสนใจ ให้ความเบิกบานใจ ให้ความเข้าใจ ให้ความรู้ ให้อารมณ์ขัน ให้เวลากับอีกคนที่กำลังโศกเศร้า ซึ่งการให้แบบนี้จะทำให้คนที่ได้รับมีชีวิตชีวา มีพลังมากขึ้น การให้ที่แท้จริง เราจะได้รับสิ่งที่เราให้กลับมาด้วย

ความรักควรสนับสนุน
ให้อีกฝ่ายเติบโตงอกงาม

ความรักที่ดีควรเป็นความรักที่มีวุฒิภาวะ เป็นความรักที่ต่างสนับสนุนให้อีกคนเติบโตและต่างมอบความปรารถนาดีให้กันและกัน โดยไม่เรียกร้องสิ่งใด ซึ่งความรักที่ดีนี้สามารถเรียนรู้และฝึกฝนได้

อยากมีรักดีๆ ต้องฝึกอะไรบ้าง?

♥ รู้จักห่วงใยดูแลกัน การห่วงใยดูแลซึ่งกันและกันก่อให้เกิดเป็นความผูกพัน เวลาที่เรารักใครเราจะอยากให้เวลา ให้ความห่วงใยและใส่ใจกับคนๆ นั้น และต่างอยากให้อีกฝ่ายเติบโตงอกงาม ความรักที่เป็นการห่วงใยดูแลกันจึงเป็นความรักที่ต่างสนับสนุนให้อีกฝ่ายไปสู่ความสำเร็จ

♥ มีความรับผิดชอบ ความรักไม่ได้มีแค่เรากับเขา และไม่ได้มีแค่ด้านที่เป็นความสุข อาจจะมีบางอย่างในชีวิตของเขาที่เราต้องร่วมรับผิดชอบด้วย อธิบายง่ายๆ คือ หากวันหนึ่งที่พ่อแม่ของเขาล้มป่วย เราต้องช่วยดูแลเขา ซึ่งเป็นภารกิจหนึ่งของความรักเช่นกัน แต่สิ่งที่สำคัญในการรับผิดชอบ คือ เราต้องรับผิดชอบอย่างเต็มใจ

♥ รู้จักยอมรับในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น เมื่อเรารักใครสักคน เราจะยอมรับในสิ่งที่เขาเป็นและไม่ต้องการเปลี่ยนแปลงความเป็นตัวเขา การยอมรับในคนๆ นั้น จะเกิดขึ้นได้อย่างไรขึ้นอยู่กับ รู้จักกันอย่างถ่องแท้

รู้จักกันอย่างถ่องแท้ เราจำเป็นต้องรู้จักตัวตนของคนที่เรารัก ด้วยการทำความรู้จักกับเขาอย่างแท้จริง ให้เวลาในการรู้เรื่องราวที่เป็นความลับ เมื่อไหร่ที่เรารู้เรื่องความลับของใครสักคน เราจะเข้าใจเขามากขึ้น ว่าเพราะอะไรตัวตนของเขาจึงเป็นแบบนี้ การที่เขาไว้วางใจที่จะเล่าสิ่งที่ไม่เคยมีใครรู้ให้เราฟัง จะนำไปสู่การยอมรับในสิ่งที่คนๆ นั้นเป็น

ยิ่งเราสามารถฝึกฝนสิ่งเหล่านี้ได้มากเท่าไหร่ ความรักของเราจะยิ่งเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น แต่หากเราละเลย ปล่อยให้ความรักเป็นแบบพึ่งพา วันหนึ่งเราจะมองหาว่าสิ่งที่คนรักของเราเป็น คือ ปัญหา ซึ่งแน่นอนว่าโอกาสที่ความรักจะล้มเหลวยิ่งมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน

ความรู้สึกเสียใจ
จากความรักที่ล้มเหลว คือ
ความรู้สึกปกติที่เยียวยาได้

เรียกตัวเองกลับมา เยียวยาหัวใจเมื่อรักพัง

วันที่เราต้องเลิกรากับคนรัก อาจเป็นเพราะเรามีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไปจากวันแรกที่รักกัน เพราะเรากำลังพยายามจะเป็นที่รักจนไม่หลงเหลือความเป็นตัวเอง ยิ่งใกล้เขาเท่าไหร่ยิ่งไกลตัวเองเท่านั้น แล้วหากรักของเราต้องสิ้นสุดลง เราะจะเยียวยาหัวใจแฟบๆ ของเราอย่างไร?…

ความรักที่ล้มเหลว ส่วนใหญ่เป็นความรักที่เอาแต่คิดว่าอีกฝ่ายจะให้อะไรกลับมาบ้าง ซึ่งแน่นอนว่าถ้าไม่ได้รับเราจะรู้สึกทันที ว่าเขาไม่รักเราเท่ากับที่เรารักเขา แตกต่างจากความรักแบบมีวุฒิภาวะ คือ ความรักที่คิดว่าอีกฝ่ายจะได้รับอะไรดีๆ จากเราบ้าง โดยไม่เรียกร้องเลยว่าเราจะได้อะไรกลับมา ซึ่งเป็นความรักที่อีกฝ่ายยังคงความเป็นตัวของตัวเองไว้ และยังมีความมั่นคงทางจิตใจ เมื่อเกิดความรักแบบนี้ขึ้น เราจะไม่รู้สึกโดดเดี่ยวและไม่ผูกชีวิตของตัวเองไว้กับใครอีกคน ถ้าหากอกหัก รักพัง เราจะก้าวผ่านความรู้สึกแย่ๆ ได้อย่างไร?

แน่นอนว่าอกหักรักพัง คือ อาการที่เกิดจากการสูญเสียคนรักและปฏิเสธไม่ได้ว่าการอกหักนำมาซึ่งความเจ็บปวด เศร้าเสียใจ แต่นั่นคือธรรมชาติของความรู้สึก หากเราอยากจะ Move on หรือก้าวผ่านความเจ็บปวด เศร้าใจ อย่างมีสติและไม่ทำให้ตัวเองต้องจมดิ่งไปกับความทุกข์ เราต้องทำความเข้าใจกับ 5 ขั้นของความรู้สึกเสียใจ (5 Strages of Grief) เพื่อให้เรารู้เท่าทันว่าอารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น การอกหักรักพังเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ และเรากำลังจะผ่านความเศร้าเสียใจด้วยการยอมรับกับความสูญเสียที่เกิดขึ้น กระบวนการทั้ง 5 ขั้น มีดังนี้

♥ ขั้นที่ 1 ปฏิเสธ (Denial) หลังจากถูกบอกเลิก ความรู้สึกแรก คือ “ไม่จริง” เป็นความรู้สึกไม่ยอมรับว่าเราเลิกกัน “ไม่ ฉันไม่เชื่อ พรุ่งนี้เราก็จะกลับมาดีกัน” เราจะรู้สึก งง อึ้ง ช็อก และไม่เชื่อว่าเราเลิกกันจริงๆ เราจะพยายามหาเหตุผลต่างๆ มาสนับสนุนหัวใจตัวเอง เช่น “เขาคงกำลังหงุดหงิด เขาคงอยากลองใจเรา” ที่รู้สึกแบบนี้เพราะเราไม่ได้เตรียมตัวที่จะรับความผิดหวังนั้น

♥ ขั้นที่ 2 โกรธ (Anger) เมื่อผ่านขั้นที่ 1 มาแล้ว จะเป็นระยะที่เริ่มยอมรับความจริงได้มากขึ้น แต่ยังมีความรู้สึกว่า “เพราะอะไรต้องเลิกกับฉัน ทำไมเรื่องนี้ต้องเกิดกับฉัน” หรือแสดงออกด้วยการกล่าวโทษอีกฝ่ายเสียๆ หายๆ หรือหาที่รองรับอารมณ์ด้วยการกล่าวโทษโชคชะตา “ทำไมเราไม่โชคดีเหมือนคู่รักอื่นๆ” ความรู้สึกขั้นนี้สามารถทำให้ชีวิตเสียศูนย์ได้มากหรืออาจจะพาให้ชีวิตพังไปจริงๆ

♥ ขั้นที่ 3 ต่อรอง (Bargaining) คือการเริ่มพยายามหาทางที่จะให้อดีตคนรักกลับมา โดยเริ่มต่อรองด้วยวิธีต่างๆ ด้วยความหวังว่าสุดท้ายแล้ว เขาจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม “ฉันพร้อมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองทุกอย่างนะ ถ้าฉันเคยละเลยไม่เคยใส่ใจเธอเท่าที่ควร ฉันจะปรับปรุงตัวเอง” หรือสำหรับบางคนถึงขั้นต่อรองกับฟ้าฝนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ด้วยการบนบานศาลกล่าวให้เขากลับมาเหมือนเดิม

♥ ขั้นที่ 4 เศร้าเสียใจ (Depression) เมื่อต่อรองไปสักพักหนึ่งจะเริ่มค้นพบความจริงว่า สิ่งต่างๆ ที่พยายามทำไม่มีทางได้ผล สิ่งที่เกิดขึ้นในขั้นนี้ เช่น เศร้า เสียใจ ร้องไห้ฟูมฟาย เพราะความจริงเริ่มตอกย้ำแล้วว่า เรากับเขาเลิกกันแล้วจริงๆ และไม่สามารถกลับมารักกันได้อีก

♥ ขั้นที่ 5 ยอมรับความจริง (Acceptance) เป็นช่วงที่เริ่มเห็นความจริงอย่างมีสติว่า เขาได้เดินจากเราไปแล้ว ยอมรับความอ้างว้างที่เกิดขึ้นภายในใจ แม้จะไม่ใช่ช่วงเวลาที่มีความสุขแต่ก็เป็นช่วงเวลาที่สงบ เริ่มอยู่กับปัจจุบันและตระหนักว่าเราสามารถอยู่คนเดียวได้ สิ่งที่จะช่วยสนับสนุนให้การยอมรับความจริง ไม่ทำร้ายจิตใจของเราอีก คือ การทำกิจกรรมหรือหางานอดิเรกที่ส่งผลดีกับตัวเอง ซึ่งจะทำให้เรามุ่งไปในทางที่เป็นประโยชน์และเมื่อเราสามารถสร้างประโยชน์ให้ตัวเองและผู้อื่นได้ เราจะไม่เสียใจกับรักพังๆ นั้นอีก

ความรู้สึกขั้นที่ 1 – 4 นั้น สามารถเกิดวนสลับไปมาได้ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นให้บอกตัวเองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติและไม่เสียหายที่จะรู้สึกว่าเหมือนเราดีขึ้น แต่กลับมาแย่ลงอีก เราเพียงแค่ไม่ฝืนที่จะเข้มแข็ง เพียงแต่ต้องรู้ว่าขณะนี้เรากำลังพยายามพาตัวเองก้าวออกไปจากความเสียใจ เราจะไม่ทำอะไรรุนแรงทั้งกับตัวเองและคนอื่น ปล่อยให้เวลาค่อยๆ พาดราก้าวไปข้างหน้า “ถึงแม้ตัวฉันจะไม่เป็นที่รักของเขาแต่ฉันจะเป็นที่รักของตัวฉันเอง”

แล้วหากเพื่อนอกหักรักพังเราจะช่วยอย่างไร

หากเหตุการณ์เกิดขึ้นกับเพื่อนของเรา หน้าที่ของเราคือ เป็นผู้ฟังที่ดี อยู่เคียงข้างให้กำลังใจ ปล่อยโอกาสให้เพื่อนแสดงความเสียใจนั้นออกมาโดยไม่ต้องบอกให้หยุดร้องไห้ ไม่ตำหนิ หรือบังคับให้เพื่อนเข้มแข็ง การให้เพื่อนได้แสดงความรู้สึกโดยเราไม่แทรกแซงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและคอยสังเกตพฤติกรรมของเพื่อนว่าสุ่มเสี่ยงที่จะทำอันตรายกับตัวเองหรือคนอื่นหรือไม่

เพราะความรักสามารถฝึกฝนได้ ขอให้ทุกคนได้เจอกับความรักที่ดี รักที่เข้าใจ และรักที่มีการสนับสนุนช่วยเหลือกันและกัน หรือหากว่าวันหนึ่งรักนั้นจบลง หวังว่าทุกคนจะสามารถก้าวผ่านความเสียใจด้วยกระบวนการ 5 ขั้น ได้อย่างมีสติ

ขอบคุณข้อมูล :
The Standard Podcast/อกหักเศร้าไม่หาย
The Standard Podcast/ลงทะเบียนวิชารัก

ภาพประกอบ :
Pannpam การ์ตูนสร้างสุข