คุณเคยสงสัยไหมว่า…เรื่องราวน่าสนใจที่ส่งผลให้ซีรีย์จบแต่ผู้ชมไม่จบคืออะไร? “Moving” ก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่ตัวละครช่างน่าจดจำและเปี่ยมไปด้วยความประทับใจมากมาย และเรื่องราวในซีรีย์ยังแอบแฝงข้อคิดดีๆ ทั้งเรื่องครอบครัว เพื่อน โรงเรียน เเละการใช้ชีวิต บทความนี้จะพาทุกคนไปหาคำตอบกับเรื่องราวที่น่าสนใจในซีรีย์ “Moving” และเหตุผลว่าทำไมเราควรจะไปสัมผัสกับเรื่องราวที่น่าประทับใจในเรื่องนี้ (คำแนะนำ! เนื้อหาในบทความมีการกล่าวถึงเนื้อหาบางส่วนในซีรีย์ สามารถไปดูซีรีย์ก่อนแล้วกลับมาอ่านในภายหลังได้)

Moving มีเส้นเรื่องหลักอยู่สองช่วงเวลา คือในช่วงยุค Y2K คือรุ่นเก๋าในวัยของพ่อเเม่ กับยุคปัจจุบันของรุ่นลูกที่ได้รับพลังพิเศษต่อจากพ่อเเม่ ซึ่งจะมีพลังพิเศษเหนือมนุษย์ที่สามารถบินได้ บางคนปล่อยไฟฟ้าได้ บางคนเเข็งเเกร่งเหมือนเดอะฮัลค์ยักษ์เขียวในจักรวาลมาร์เวล ถ้าดูเผิน ๆ เหมือนกับเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ แต่ที่น่าสนใจคือ การได้รู้ว่าจริงๆ เเล้วฮีโร่ก็อาจไม่ได้เท่เสมอไป เพราะถึงจะเป็นฮีโร่อย่างไรก็ยังมีความรู้สึกเเละต้องการการยอมรับจากใครสักคนอยู่ดี

ยกตัวอย่างตัวละครรุ่นลูกที่ได้พลังพิเศษสืบทอดมาจากพ่อ คือเด็กสาววัยมัธยม จาง-ฮี-ซู (นางเอกรุ่นลูก) ผู้ที่มีพลังฟื้นฟูบาดเเผลได้ไว ฮีซูได้เจอกับ คิม-บง-ซอก (พระเอกรุ่นลูก) ภายหลังจากเหตุการณ์ที่ต้องย้ายมาจากโรงเรียนอื่น สาเหตุการย้ายคือ จาง-ฮี-ซู โดนข้อหาทำร้ายร่างกายเพื่อนในชั้นเรียน แล้วทำไมเธอถึงต้องไปทำร้ายเพื่อนในโรงเรียน เหตุผลเเท้จริงเเล้วมาจากการที่ จาง-ฮี-ซู ทนเห็นเพื่อนในชั้นเรียนถูกกลั่นเเกล้ง (Bullying) ไม่ไหวจึงเข้าไปช่วยเหลือ ด้วย จาง-ฮี-ซู เธอเป็นเด็กสาวที่กล้าหาญมาก และต้องต่อสู้กันเเบบสิบเจ็ดต่อหนึ่ง ถ้าเป็นคนธรรมดาเรียกว่าคงไม่รอดมาเจอ คิม-บง-ซอก เเน่นอน แต่ จาง-ฮี-ซู ทั้งใจสู้ เข้มเเข็ง กล้าหาญ ต่อให้เรามีพลังพิเศษเเบบฮีซูก็ต้องอดทนกับความเจ็บปวดก่อนที่แผลทั่วทั้งร่างกายจะถูกรักษาให้หาย (เเม้จะใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาทีก็ตาม) ทั้งถูกฟัน ถูกทุบตี ถูกรุมทำร้ายจนสาหัส และก็ต้องทนกับความเจ็บปวดมากเเน่นอน

การเป็นฮีโร่ของ จาง-ฮี-ซู ไม่ใช่เพราะพลังการฟื้นฟูร่างกาย แต่มาจากความกล้าที่จะเผชิญหน้าลุกขึ้นมาสู้ในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง แต่เธอโดนลงโทษด้วยการถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียนในช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อเเละมีประวัติเสื่อมเสียติดตัว แต่ จาง-ฮี-ซู ก็ยังเชื่อมั่นในตัวเองว่าได้ทำในสิ่งที่ควรทำแล้ว เพราะเพื่อนคนอื่นๆ ต่างก็เพิกเฉยเเละไม่มีใครเข้าไปช่วยคนที่ถูกรังเเกเลย ขณะเดียวกันคนเป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าลูกสาวไปมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่น สิ่งที่ทุกบ้านต้องมีคือการพูดคุยกันในครอบครัว พ่อของฮีซูรับฟังเเละถามถึงเหตุผลของฮีซูในการกระทำสิ่งนั้น เเละเมื่อพ่อได้รับรู้สาเหตุทั้งหมดกลับไม่โกรธเธอเลย เเละภูมิใจในตัวของลูกที่ปกป้องเพื่อนเเละศักดิ์ศรีของตัวเอง เป็นความเข้าใจกันในครอบครัวที่ส่งผลกับการใช้ชีวิตมากๆ เพราะพ่อให้กำลังใจเเละเชื่อมั่นในสิ่งที่ลูกทำ เเละฮีซูเองก็เติบโตมาอย่างดีจากความรักที่เต็มเปี่ยมที่ได้รับจากคนเป็นพ่ออีกด้วย

ส่วนในพาร์ทของพระเอกอย่าง คิม-บง-ซอก (พระเอกรุ่นลูก) ที่ได้รับพลังพิเศษจากพ่อเเม่ คือ การบินได้เเละมีประสาทสัมผัสที่ไวเป็นพิเศษ เนื่องจากพ่อของบงซอกเป็นสุดยอดสายลับที่เก่งกาจ ทำให้เสี่ยงเเละมีศัตรูมากมายที่จ้องจะเล่นงาน มีเหตุการณ์ที่ทำให้พ่อของบงซอกต้องพลัดพรากจากครอบครัว การเลี้ยงดู คิม-บง-ซอก จนถึงวัยรุ่นจึงเป็นเรื่องยากของคนเป็นแม่ เพราะเธอกังวลอยู่เสมอว่าพลังวิเศษของ คิม-บง-ซอก จะปรากฏต่อหน้าคนอื่นและทำให้ลูกของเธอมีอันตรายได้ ตรงกับสุภาษิตที่ว่า เลี้ยงลูกเป็นไข่ในหิน บงซอกเติบโตโดยได้รับการทะนุถนอมเเละถูกห้ามไม่ให้ทำอะไรหลายๆ อย่าง ในวัยเด็กของเขาต้องสูญเสียไปกับการใช้ชีวิตอยู่แต่ในบ้าน เลิกเรียนก็ไม่ได้เล่นกับเพื่อน กินเยอะจนน้ำหนักตัวเกิน เพราะแม่กลัวว่าถ้าหากผอมไป คิม-บง-ซอก จะควบคุมตัวเองไม่ได้เเล้วตัวจะลอยไปไกล เเละเเล้วเมื่อ คิม-บง-ซอก เจอกับ จาง-ฮี-ซู จึงเป็นจุดเปลี่ยนที่เขาอยากจะลุกขึ้นมาปกป้องอะไรสักอย่าง เขาไม่พอใจที่ตัวเองเคลื่อนไหวช้า ตุ้ยนุ้ย ดูแลใครไม่ได้ บงซอกเกิดความไม่เข้าใจกันกับเเม่ เขาไม่เข้าใจว่าทำไมจะต้องกินเยอะๆ เพื่อให้อ้วน ทำไมถึงฝึกร่างกายให้แข็งแรงแต่ห้ามไม่ให้บินไปไหน ทั้งที่พลังพิเศษของเขาอาจจะสามารถช่วยชีวิตใครได้อีกหลายคน เพราะการไม่พูดคุยและทำความเข้าใจกันระหว่างแม่กับบงซอก และเเม่ก็ไม่เคยเล่าเรื่องราวอะไรให้บงซอกฟังเลยว่าพ่อของเขาเป็นใคร เเล้วทำไมต้องใช้ชีวิตแบบหลบๆ ซ่อนๆ เปิดเผยตัวตนไม่ได้ ทั้งที่จริงแล้วการสื่อสารกันในครอบครัวมีความสำคัญเเละส่งผลต่อการใช้ชีวิตอย่างมาก ดังที่กล่าวไว้ในเรื่องราวของ จาง-ฮี-ซู

สำหรับ คิม-บง-ซอก การที่พ่อเเละเเม่ของเขาเก่งกาจเกินไปไม่ใช่เรื่องที่ผิด คนเป็นพ่อเเม่เป็นห่วงและกังวลกลัวว่าลูกจะได้รับอันตรายเพราะตัวเองเคยผ่านประสบการณ์บางอย่างมาเเล้ว และไม่อยากให้ลูกต้องใช้ชีวิตในแบบที่ตัวเองเคยผ่านมา จึงพยายามปกป้องและป้องกันเพื่อไม่ให้เกิดสิ่งไม่ดีกับ คิม-บง-ซอก ทั้งที่จริงเราไม่สามารถรู้ได้ว่าใครจะใช้ชีวิตได้ดีกว่าใคร เราต้องปล่อยให้เขาได้ใช้ชีวิตในเเบบของเขาเอง โดยเราแค่เฝ้ามองดูทุกก้าวสำคัญของเขาในทุกๆ วัน มากกว่าการห้ามไม่ให้เขาได้ลองทำ ซึ่งสิ่งนั้นอาจเป็นสิ่งที่เขาทำได้ดีกว่าเราก็ได้

และรุ่นลูกอีกคนที่น่าสนใจคือ หัวหน้าห้อง อี-คัง-ฮุน เพื่อนร่วมชั้นเรียนเดียวกันกับบงซอก และ ฮีซู หัวหน้าห้องมีพลังความเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็วและทรงพลังเหมือนพ่อของเขา พ่อรักคังฮุนมาก คอยดูแลและเป็นห่วงคังฮุนอยู่เสมอ เพียงแต่สติปัญญาของพ่อไม่ค่อยสมบูรณ์ การพูดและความคิดช้ากว่าคนทั่วไป แต่ถ้าเป็นเรื่องลูกแล้วพ่อจะสู้สุดใจ ในทุกวันเขาจะตั้งเตือนนาฬิกาเวลาหกโมงเย็นเพื่อรอคังฮุนกลับบ้าน

คังฮุนเติบโตมากับพ่อมีชีวิตวัยเด็กที่ร่าเริงแจ่มใสมาก บ้านของพวกเขาอยู่ในตลาดซึ่งส่วนใหญ่ผู้คนจะประกอบอาชีพพ่อค้า แม่ค้า รวมถึงพ่อแม่ของคังฮุนด้วย เขาชอบที่จะได้ใช้เวลากับพ่อ จนกระทั่งวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์เลวร้ายกับครอบครัว ในช่วงนั้นมีการไล่ชุมชนในตลาดให้ย้ายไปที่อื่น คนในชุมชนมีความไม่พอใจและรวมตัวกันประท้วง จนเกิดความวุ่นวายและไม่สงบจนต้องมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาสลายการชุมนุม แม่รีบไล่ให้พ่อคังฮุนกลับบ้าน เพราะกลัวว่าพ่อจะควบคุมตัวเองไม่ได้หากมีการปะทะกัน เนื่องจากเคยมีอันธพาลมารบกวนแม่ แต่ความแข็งแกร่งของพ่อทำให้อันธพาลบาดเจ็บหนัก พ่อต้องติดคุกและพลัดพรากจากคังฮุนตั้งแต่ยังเด็ก พอถึงวัยเด็กที่คังฮุนได้อยู่กับพ่อ แม่จึงอยากให้พวกเขาได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกันให้มากที่สุด คุณพ่อรีบกลับไปดูคังฮุนที่บ้านและรอเวลาให้แม่คังฮุนกลับมา แต่แม่ก็ไม่กลับบ้านสักทีจนพ่อเริ่มเป็นห่วง เขาจึงออกไปตามหาแม่ โดยบอกกับคังฮุนว่า “พ่อขอไปดูแม่ก่อนนะ แล้วพ่อจะรีบกลับมา พ่อสัญญา” ทั้งสองเกี่ยวก้อยสัญญากัน แล้วคังฮุนเองก็เฝ้ารอเวลาให้พ่อกลับมา

ในที่เกิดเหตุแม่ถูกตำรวจควบคุมตัว พ่อคังฮุนโกรธมาก ทำลายข้าวของเสียหาย รวมไปถึงทำร้ายร่างกายตำรวจที่พยายามจะห้ามพ่อไม่ให้ช่วยแม่ด้วย และพ่อของฮีซูเองในขณะนั้นได้ทำงานให้กับหน่วยงานลับของรัฐบาลจึงถูกเรียกตัวมาเพื่อจัดการกับพ่อคังฮุนที่สร้างความโกลาหลและความวุ่นวาย ทั้งสองได้พบกันและต่อสู้กันอย่างดุเดือด คุณพ่อทั้งสองต่อสู้กันอย่างไม่มีใครยอมใครในท่อระบายน้ำ  แต่สุดท้ายการใช้กำลังรบรากันก็ไม่เกิดประโยชน์และต้องหยุดเพราะมีเด็กน้อยคนหนึ่งพลัดตกลงไปในท่อระบายน้ำ ด้วยจิตวิญญาณความเป็นพ่อ ทั้งสองคนจึงร่วมใจกันช่วยเด็กน้อยคนนั้นให้รอดกลับไปเจอแม่ของตัวเองได้ คุณพ่อฮีซูได้ปล่อยตัวพ่อคังฮุนไป เพราะเห็นว่าพ่อคังฮุนไม่ได้มีเจตนาหนี แต่จะกลับบ้านไปหาคังฮุนเท่านั้นเอง เพราะสัญญากับคังฮุนแล้วว่าจะต้องกลับไปให้ได้

จากเรื่องราวครั้งนั้นทำให้พ่อคังฮุนต้องใส่กำไล EM (Electronic Monitoring) หรืออุปกรณ์สำหรับการติดตามตัวเพื่อคุมความประพฤติที่ข้อเท้าตลอดเวลา คังฮุนเติบโตมาโดยที่มีพ่อของเขาอยู่เคียงข้างเสมอ แต่เขากลับรู้สึกผิดที่เห็นกำไล EM ติดที่ข้อเท้าของพ่อ คังฮุนเป็นเด็กฉลาด มีความสามารถ เขาพัฒนาพลังพิเศษในตัวให้ดียิ่งขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป้าหมายคือการทำงานให้กับหน่วยงานลับของรัฐบาลแลกกับความเป็นอิสระของพ่อ เนื่องจากตัวละครคังฮุนค่อนข้างพูดน้อยและเป็นเด็กเงียบๆ พอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นเขาไม่ค่อยพูดจนได้เจอฮีซู จึงพยายามอยากเป็นเพื่อนกับเธอ เพราะคิดว่าพวกเขามีพลังพิเศษและแตกต่างจากคนอื่น เรื่องราวของหัวหน้าห้องอาจดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ทุกคนที่ได้ดูซีรีย์เรื่องนี้จะประทับใจในความรักของคุณพ่อบ้านนี้แน่นอน เพราะว่าเพื่อลูก เพื่อคนในครอบครัว เขาสามารถทำได้ทุกอย่าง รวมถึงตัวของคังฮุนด้วยที่อยากจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลที่เก่งกาจ เพื่อความเป็นอิสระของพ่อ

ทุกคนคงจะได้เห็นพลังพิเศษเหนือธรรมชาติของแต่ละตัวละครแล้ว และอาจรู้สึกอยากมีพลังพิเศษบ้างใช่ไหม? หากตัดเรื่องนี้ออกไป เรื่องราวในซีรีย์กำลังเล่าถึงชีวิต ครอบครัว เพื่อน โรงเรียน เเละผู้คนว่าท้ายที่สุดเเล้วไม่ว่าเราจะมีความสามารถเป็นยอดมนุษย์มากแค่ไหน เราเองก็ยังต้องการความเข้าใจเเละการสนับสนุนจากคนสำคัญของเราอยู่เสมอ

เราทุกคนนั้นมีพลังพิเศษที่สามารถสร้างฮีโร่และเป็นฮีโร่ได้ ทุกคนเป็นฮีซูสำหรับคนอื่นได้ เป็นบงซอกสำหรับพ่อเเม่ได้ และเป็นคนที่เก่งมากๆ แบบคังฮุนได้ ขอให้ทุกคนเติมพลังให้ตัวเองเเละเชื่อมั่นในสิ่งที่ทำนั้นเป็นสิ่งที่ได้เลือกและจะทำให้ดีที่สุดได้ ไม่ว่าจะตัดสินใจไปในเส้นทางไหน ก็จะมีคนคอยสนับสนุนเเละอยู่เคียงข้างเสมอในทุกๆ เส้นทางของเรา…

Moving ก้าวไหนก็ไม่สำคัญเท่าก้าวที่เราเลือกเดินอย่างมั่นใจ!!!


ภาพประกอบ :
Disney+ Hotstar Thailand

ผู้เขียน : มุจลินท์ ประทุมมาศ
#อาสาเขียนบทความ