“ตอนเด็กๆ หนูอยู่กับตายาย แม่ไปทำงานที่กรุงเทพฯ แล้วส่งเงินมาให้บ้าง” กิ๊ฟเล่าเบื้องหลังของชีวิตที่เต็มไปด้วยความท้าทายในครอบครัวที่พ่อแม่แยกทางกัน มีน้องชายที่กำลังจะขึ้นชั้น ม.1 วันนั้นการเรียนต่อดูเหมือนเส้นทางที่ไกลเกินเอื้อม
วันหนึ่งในช่วงที่เรียนอยู่ชั้น ม.3 ที่โรงเรียนมัธยมฯ จังหวัดเพชรบุรี ประกาศของอาจารย์ท่านหนึ่งหน้าเสาธงกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญ “มีอาจารย์ท่านหนึ่งประกาศหน้าเสาธงว่าจะมีทุนเรียนต่อสำหรับสายอาชีพ ถ้าไปต่อสายอาชีพก็จะได้ทุนของมูลนิธิยุวพัฒน์ หนูก็เลยเลือกเรียนสายอาชีพ” การตัดสินใจนั้นไม่ได้มาจากความชัดเจนในเป้าหมาย แต่มาจากความต้องการที่จะลดภาระให้ครอบครัว เหตุผลที่ขอทุนเพราะต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายของครอบครัว
การเรียนบัญชีสำหรับคนที่ไม่ได้ชอบตัวเลขมากนักกลายเป็นความท้าทายใหม่ ในช่วงแรกกิ๊ฟยอมรับว่า “หนักใจ” เพราะมีวิชาที่เกี่ยวข้องอีกหลายอย่าง “ตอนแรกคิดว่าถ้าเรียนสายอาชีพ หนูจะไม่ต้องเรียนวิชาอื่น ก็จะไปเรียนแค่วิชาที่เกี่ยวกับที่เลือกไปเลย แต่สรุปแล้วไม่ใช่อย่างที่หนูคิด”
แต่ความยืดหยุ่นและการมองในแง่บวกกลายเป็นจุดแข็ง กิ๊ฟใช้วิธีตั้งใจมากขึ้นกับวิชาที่ไม่ถนัด และค่อย ๆ ปรับตัว จนเกรดเฉลี่ยอยู่ในระดับ 3.5 – 3.6 ซึ่งถือว่าดีทีเดียวสำหรับนักศึกษาสายอาชีพที่ต้องเผชิญทั้งวิชาชีพเฉพาะและวิชาพื้นฐานไปพร้อมกัน “หนูพยายามมองให้เห็นว่ามีสิ่งที่จะได้ประโยชน์ อย่างเช่น เรียนบัญชี ก็จะมีวิชาที่เกี่ยวกับภาษี กฎหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในสายสามัญไม่มี”
สิ่งที่สายอาชีพมอบให้นอกเหนือจากทฤษฎี คือการได้ออกไปฝึกงานจริง การได้สัมผัสขั้นตอนการทำงาน ได้พบเจอผู้คน สร้างความสัมพันธ์กับพี่ ๆ ในที่ทำงาน และบางครั้งก็ได้รับการทาบทามให้ทำงานต่อทันทีหลังเรียนจบ ประสบการณ์เหล่านี้ ทำให้กิ๊ฟมั่นใจว่า การเรียนสายอาชีพช่วยให้ก้าวเข้าสู่โลกของการทำงานได้เร็วกว่าสายสามัญ และปลูกฝังวินัยที่ติดตัวมาจนถึงการเรียนมหาวิทยาลัย “ได้ไปฝึกประสบการณ์จริงๆ เรียนรู้ขั้นตอนการทำงาน สามารถนำความรู้มาใช้ได้ทันที และยังเป็นการสร้างเครือข่าย ได้สร้างความสัมพันธ์กับพี่ๆ ในที่ฝึกงาน บางที่ก็ติดต่อมาว่าถ้าเรียนจบแล้วบริษัทก็จะรับเข้าทำงานเลย”
หลังเรียนจบ ปวส. กิ๊ฟตัดสินใจลองสอบ ก.พ. และสอบผ่าน นั่นทำให้เห็นว่าตนเองมีโอกาสในสายราชการ โดยมีคุณยายเป็นคนที่ผลักดันให้เรียนต่อ ด้วยความหวังว่าอนาคตจะมั่นคงและมีรายได้ที่ดีขึ้น “หลังจบ ปวส. ได้ลองสอบ ก.พ. ผ่าน ตอนแรกตั้งใจจะทำงานเลย แต่คุณยายอยากให้เรียนต่อในระดับที่สูงขึ้น คุณยายบอกว่าถ้าเป็นเรื่องการเรียนต้องหาให้ได้ หนูก็เลยเลือกที่จะเรียน แล้วก็ตัดสินใจกู้ กยศ. ไปด้วย”
ปัจจุบันกิ๊ฟกำลังเรียนปริญญาตรี สาขาการบัญชี คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ศาลายา และอยู่ระหว่างรอผลการสอบสัมภาษณ์เพื่อบรรจุเป็น “เจ้าพนักงานสรรพากร” หากสอบผ่าน กิ๊ฟวางแผนไว้ว่าจะเรียนปริญญาตรีภาคสมทบในช่วงวันหยุด ควบคู่กับการทำงาน เพื่อเก็บเกี่ยวทั้งความรู้และประสบการณ์ไปพร้อมกัน
อีกบทบาทที่สำคัญในวันนี้ คือการเป็น “อาสาสมัคร” ของมูลนิธิยุวพัฒน์ กิ๊ฟเลือกช่วยตอบจดหมายของน้อง ๆ ให้คำแนะนำและกำลังใจ มากกว่าการลงพื้นที่ เพราะทำได้สะดวกและต่อเนื่อง “ไม่ได้ยากเกินกำลังที่จะทำ หนูเคยได้รับโอกาส ได้รับทุนการศึกษา ก็เลยมาเป็นอาสาสมัครช่วยงานมูลนิธิและอยากช่วยส่งต่อกำลังใจให้น้องๆ”
กิ๊ฟเล่าว่าจดหมายที่ได้รับส่วนใหญ่สะท้อนปัญหาของครอบครัวยากจน เช่น ค่าเทอม ค่าเดินทาง หรือแม้แต่ต้องหยุดเรียนเพื่อไปช่วยงานที่บ้าน “ปัญหาของน้องๆ ส่วนใหญ่เป็นปัญหาเกี่ยวกับค่าใช้จ่าย ผู้ปกครองทำงานวันละ 300 – 400 บาท ยังเป็นนักเรียนอยู่ มีลูกหลานหลายคนต้องเรียนหนังสือ บางคนถ้าป่วยแล้วไม่มีเงิน เด็กก็ต้องหยุดโรงเรียนมาดูแล หรือต้องไปช่วยทำงานด้วย”
การตอบจดหมาย ทำให้กิ๊ฟได้ย้อนมองตนเองในวันที่เคยอยู่ในจุดเดียวกับน้อง ๆ และตระหนักถึงคุณค่าของ “คำพูด” ที่อาจเป็นพลังใจให้ใครสักคนก้าวต่อไป “การที่มูลนิธิฯ ยังคงติดตามและให้คำปรึกษา เป็นสิ่งที่ดีมาก ไม่ใช่แค่ให้เงินไปเรียน แต่ยังคอยให้คำแนะนำและกำลังใจในวันที่ท้อแท้”
เมื่อถูกถามถึงคำแนะนำสำหรับน้อง ๆ ที่กำลังเรียนหนังสืออยู่ กิ๊ฟบอกว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือการถามตนเองก่อนว่าในอนาคตต้องการทำอาชีพอะไร หากยังไม่แน่ใจ ให้ลองพิจารณาว่าสายสามัญหรือสายอาชีพเหมาะกับตนเองมากกว่า “หนูอาจจะถามน้องว่าสนใจไปทางไหน และอาจจะให้น้องลองมองว่าในอนาคตอยากเป็นอะไร อยากเป็นข้าราชการหรืออาชีพอื่นๆ”
กิ๊ฟยังย้ำถึงข้อดีของสายอาชีพ ที่สามารถเข้าสู่ตลาดแรงงานได้เร็ว และหากโรงเรียนมีระบบทวิภาคี ซึ่งเรียนควบคู่กันทั้ง ม.6 และ ปวช. ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจ เพราะจะช่วยเปิดทางเลือกได้มากขึ้น
วันนี้กิ๊ฟไม่ได้เป็นแค่อดีตนักเรียนทุนสายอาชีพที่ค้นพบเส้นทางของตนเอง แต่ยังกลายเป็นผู้ที่ส่งต่อความหวังให้น้องๆ รุ่นต่อไปผ่านการเป็นอาสาสมัครของมูลนิธิยุวพัฒน์ พร้อมเป็นแรงบันดาลใจให้คนที่กำลังกังวลว่า “ไม่รู้จะเรียนสายไหน” ได้เห็นว่า บางครั้งการไม่รู้ก็คือจุดเริ่มต้นที่ดี