โครงการทุนการศึกษา โดยมูลนิธิยุวพัฒน์ จัดกิจกรรม “ค่ายครูนางฟ้า” เพื่อเสริมทักษะสำคัญที่จำเป็นสำหรับครูในการดูแลนักเรียน โดยเฉพาะนักเรียนกลุ่มเปราะบางที่เสี่ยงหลุดออกจากระบบการศึกษา
“ทุนการศึกษา” อาจช่วยให้เด็กเข้าเรียนได้ แต่สิ่งที่จะทำให้พวกเขาอยู่ในระบบจนจบการศึกษา คือ “ความรู้สึกที่มีคนเข้าใจ มีที่พึ่ง และมีแรงใจในการสู้ต่อไป” เมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรคในชีวิต และ “คุณครู” คือบุคคลสำคัญที่อยู่ใกล้ชิดมากที่สุด แต่หลายครั้งคุณครูรู้สึกไม่มั่นใจว่าจะช่วยเหลือนักเรียนได้อย่างไร เมื่อเจอปัญหาที่ซับซ้อนเกินกว่าการสอนหนังสือ
มูลนิธิยุวพัฒน์ เข้าใจดีว่าการให้ทุนการศึกษาเป็นเพียงจุดเริ่มต้น การทำให้เด็กๆ เรียนจบต้องอาศัยระบบการดูแลที่แข็งแกร่ง และครูที่มีทักษะในการช่วยเหลือ รับฟัง เข้าใจ และให้กำลังใจแก่นักเรียน จึงได้จัด “ค่ายครูนางฟ้า” ขึ้นเพื่อเสริมทักษะที่จำเป็นให้กับคุณครู ทั้งด้านการสื่อสาร การฟังอย่างลึกซึ้ง และการใช้หลักจิตวิทยาสังคม ในการดูแลนักเรียนไม่ให้หลุดจากระบบการศึกษากลางคัน
งานอบรมเชิงปฏิบัติการ “ค่ายครูนางฟ้า” จัดขึ้นระหว่างวันที่ 13 – 14 มิถุนายน 2568
ณ โรงแรมแกรนด์ฮิลล์ รีสอร์ท จังหวัดนครสวรรค์ มีคุณครูจากโรงเรียนในเครือข่าย
สมัครเข้าร่วมจำนวน 74 คน จาก 10 โรงเรียน ซึ่งมีเป้าหมายหลักคือ การป้องกันไม่ให้นักเรียน
หลุดจากระบบการศึกษา ผ่านการเสริมศักยภาพครูให้เป็นที่พึ่งทางใจของนักเรียน
การบูรณาการจิตวิทยาสังคมเข้ากับระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน
และการพัฒนาทักษะการคัดกรองนักเรียนกลุ่มเสี่ยงเพื่อส่งต่อให้ผู้เชี่ยวชาญได้อย่างเหมาะสม
โดยกิจกรรมจะเป็นรูปแบบเวิร์กช็อปที่เน้นการเรียนรู้ผ่านการลงมือทำ
ครูจะได้ฝึกทักษะการฟังอย่างลึกซึ้ง หรือที่เรียกว่า Deep Listening
ซึ่งเป็นศิลปะการฟังที่จะทำให้นักเรียนรู้สึกว่า “มีคนเข้าใจเขาจริงๆ”
นอกจากนี้ ยังมีการฝึกทักษะการสื่อสารเพื่อเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือ MI
ที่จะช่วยให้นักเรียนเกิดแรงจูงใจในการเปลี่ยนแปลงตนเอง
รวมถึงการใช้ใบงานประเมินปัญหาและการเสริมพลังใจ และการจำลองสถานการณ์ต่างๆ
เพื่อให้ครูได้ฝึกนำทักษะเหล่านี้ไปใช้จริงที่โรงเรียน
หลังจบค่ายแล้ว คุณครูจะกลับไปพร้อมกับเครื่องมือและความรู้
ที่จะช่วยให้สามารถคัดกรองนักเรียนกลุ่มเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประยุกต์หลักจิตวิทยาสังคมในการดูแลนักเรียน และที่สำคัญคือสร้างให้โรงเรียน
กลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่นักเรียนรู้สึกมีที่พึ่ง มีที่ปรึกษา และมีกำลังใจ
ซึ่งแต่ละโรงเรียนมี “แผนดำเนินการ” โดยจะเริ่มจากเรื่องง่ายๆ ก่อน
เช่น การประชุมภายในทีมครูที่ปรึกษา เพื่อถอดบทเรียนและวางแผน
การดูแลนักเรียนกลุ่มเปราะบางร่วมกัน, บางโรงเรียนนำแบบประเมิน SDQ
ที่เรียนรู้จากเวิร์กช็อปไปทดลองใช้ เพื่อคัดกรองเด็กที่อาจกำลังต้องการความช่วยเหลือ,
บางโรงเรียนตั้งกลุ่มเด็กเฉพาะกิจเพื่อเปิดพื้นที่พูดคุยอย่างไม่เป็นทางการ
เพื่อให้เด็กได้ระบายความรู้สึกที่แบกไว้ และบางโรงเรียนจะนำทักษะ “การฟังอย่างลึกซึ้ง”
ที่ได้ฝึกฝนในค่าย กลับไปใช้อย่างต่อเนื่องในการดูแลนักเรียน
สิ่งที่น่าชื่นชมคือ “ทุกแผน” ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ล้วนเกิดจากความเข้าใจที่มากขึ้น
คุณครูไม่ได้มองเพียงพฤติกรรมที่เด็กแสดงออกมาอีกต่อไป
แต่เริ่มถามตัวเองว่า “เด็กคนนี้ต้องการอะไรอยู่ข้างใน?”
ทุกๆ โรงเรียนที่วางแผนจะใช้กิจกรรมแนะแนวอย่างต่อเนื่อง สอนให้นักเรียนรู้จักตัวเอง
เข้าใจอารมณ์ และหาทางจัดการกับความเครียด, โรงเรียนบางแห่งนำแนวคิดการโค้ช (Coaching)
ไปปรับใช้กับการพูดคุยนักเรียนรายบุคคล เพื่อจูงใจให้พวกเขาเห็นคุณค่าในตัวเอง
เราไม่ได้เปลี่ยนครู แต่เราเติมพลังให้ครูไปต่อ
ค่ายครูนางฟ้าไม่ได้สอนให้ครูเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยา
แต่ช่วย “เสริมทักษะเล็ก ๆ ที่จำเป็น” เพื่อให้ครูมั่นใจมากขึ้น
เมื่อเผชิญหน้ากับเด็กที่กำลังเปราะบาง หรืออยู่ในภาวะเสี่ยงจะหลุดจากระบบการศึกษา
และจากสิ่งที่ครูนำกลับไปลงมือทำ เรามั่นใจได้ว่า การเปลี่ยนแปลงได้เริ่มขึ้นแล้ว
แม้เพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็เป็นก้าวที่สำคัญมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง
เพราะเด็กคนหนึ่งที่รอดพ้นจากการหลุดออกจากโรงเรียน
จะกลายเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งที่เปลี่ยนอนาคตของตัวเองและทั้งครอบครัวได้