สิ่งที่ชัดเจนมาตั้งแต่ต้นคือ ปุ๊กกี้เป็น “เด็กเรียนดี” ครูที่โรงเรียนมองเห็นความพยายามและความตั้งใจ จึงแนะนำให้เขียนเรียงความเพื่อสมัครขอทุนการศึกษา ในขณะที่โรงเรียนมีโควตาเพียงคนเดียวเท่านั้น ไม่กี่สัปดาห์หลังส่งใบสมัคร ผลตอบรับก็มาถึง เธอได้รับเลือกเป็นนักเรียนทุนยุวพัฒน์
“ตอนนั้นรู้สึกดีใจมาก คุณครูก็ช่วยจัดสรรปันส่วนให้ เบิกแบบเป็นครั้งๆ ซื้ออุปกรณ์การเรียน เงินทุนนี้ช่วยซื้ออุปกรณ์การเรียน จ่ายค่ารถนักเรียน และค่าใช้จ่ายในการทำรายงานและโครงงาน”
แต่ความท้าทายยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เมื่อปุ๊กกี้ย้ายกลับมาเรียนที่นครปฐมในช่วงมัธยมปลาย ค่าครองชีพที่สูงขึ้นกลายเป็นอุปสรรคใหม่ ต้องจ่ายค่ารถเดือนละ 700 จากที่เคยจ่ายแค่ 300 แต่โชคดีที่เงินทุนเพิ่มขึ้น และยังได้ทุนอาหารกลางวันอีก ทำให้ไม่ต้องกังวลเรื่องค่าอาหารทุกวัน
“เพราะชีวิตมีไม่เท่ากัน อย่างคนอื่นยังมีพ่อแม่ซัพพอร์ต ถ้าไม่หาเงินทุนนี้ก็ไม่มีเงิน”
คำพูดนี้สะท้อนถึงความเข้าใจในชีวิต ทำให้ปุ๊กกี้เริ่มหารายได้เสริมด้วยการขายของในโรงเรียน ตั้งแต่เคสโทรศัพท์มือถือ 3 อัน 100 บาท ไปจนถึงขนมชิ้นละ 5 -7 บาท และในช่วง ม.4 – ม.5 ก็เริ่มขายผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอาหารเสริม
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ในสาขาการจัดการทั่วไป มหาวิทยาลัยราชภัฏนครปฐม ปุ๊กกี้ก็ยังคงมองหาโอกาสในการหารายได้เพิ่ม โดยการขายแซนวิชและน้ำส้ม เธอเล่าว่า มีครูประจำชั้นสมัยเรียนมัธยมทำขนมส่งให้ในราคาถูกเพื่อให้เอาไปขาย เธอต้องแบกกระติกขึ้นรถเมล์ไปขายทุกวัน บางวันก็มีอาช่วยขับมอเตอร์ไซค์พาไปส่งขึ้นรถ
เรียกได้ว่าทุกการค้าขายไม่ใช่แค่เพื่อเงิน แต่คือบทเรียนชีวิตที่สอนให้รู้จัก ความอดทน ความพยายาม และการมองหาโอกาสอยู่เสมอ
ระหว่างเรียนมหาวิทยาลัย ปุ๊กกี้ค้นพบว่า แม้ไม่ได้เป็นครูตามที่ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรก ก็ไม่เป็นไร เพราะเมื่อเรียนจบแล้ว ยังมีทางเลือกอีกหลายอย่างที่ทำได้ เธอเริ่มรับจ้างสอนพิเศษออนไลน์ ทั้งวิชาภาษาไทยและคณิตศาสตร์
“ช่วงปิดเทอมรับสอนพิเศษวิชาภาษาไทยกับคณิตศาสตร์ชั่วโมงละ 50 บาท วันละ 8 ชั่วโมง เพราะจริงๆ อยากเป็นครูแต่สอบไม่ติด และเป็นคนรักเด็กด้วย ยิ่งเวลาสอนแล้วเด็กๆ เข้าใจยิ่งทำให้มีความสุข เคยมีบางคนอ่านหนังสือไม่ออก แล้วเรียนกับหนู แล้วก็ค่อยๆ อ่านหนังสืออก โดยบอกว่า ครูปุ๊กกี้หนูอ่านหนังสือออกแล้ว เป็นสิ่งที่ภูมิใจมากๆ”
จุดเปลี่ยนสำคัญอีกครั้งเกิดขึ้นเมื่อมีโอกาสรับงานพิเศษเป็น พนักงานไลฟ์สดขายของใน TikTok ครั้งแรกเธอทำเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังเลิกงานประจำ แต่เมื่อเจ้าของร้านเห็นฝีมือ จึงชวนให้มาทำเต็มเวลา ปัจจุบันปุ๊กกี้ทำงานวันละ 5 ชั่วโมง หยุดทุกวันอาทิตย์ และรายได้มากกว่างานประจำที่เคยทำ ได้ใช้ชีวิตที่ดีกว่าเดิม
สินค้าที่ขายมีตั้งแต่ราวตากผ้า กระเป๋าเดินทาง แว่นตา ไปจนถึงกระเป๋าสตางค์ แม้จะเป็นสินค้าทั่วไป แต่สำหรับเธอนี่คืออาชีพที่เปลี่ยนชีวิตและสามารถดูแลตัวเองได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง ไม่ว่าจะเป็นการขายของ สอนพิเศษ ทุกอย่างหล่อหลอมให้เธอแข็งแกร่งขึ้นทุกๆ วัน
“หนูรู้สึกว่าหนูเก่งนะ หาเงินเองได้ ซื้อของที่อยากได้ด้วยเงินตัวเอง ไม่ต้องลำบากพ่อด้วย เป็นความภูมิใจที่เกิดจากความสามารถในการพึ่งพาตนเอง”
ปุ๊กกี้ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า หากย้อนเวลากลับไปเลือกได้ จะเลือกเรียน “สายอาชีพ” เพราะสายอาชีพให้ประสบการณ์จริงมากกว่า ได้ฝึกงานหลายครั้ง และพร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานเร็วกว่า
แต่ถึงอย่างนั้น ประสบการณ์ทั้งหมดที่ผ่านมาก็ทำให้เป็นคนที่ไม่กลัวการทำงานหนักและไม่หยุดมองหาโอกาส ที่สำคัญความเข้าใจจากประสบการณ์ตรงในการทำงาน ทำให้เธอมองเห็นคุณค่าของการเรียนสายอาชีพมากขึ้น
” ไม่ว่าจะเรียนสายไหนมีข้อดี ข้อเสียแตกต่างกันไป สำหรับหนูที่เลือกเรียนสายสามัญเพราะที่บ้านปลูกฝัง เพราะมีอาที่รับราชการอยู่ แต่ถ้าย้อนกลับไปได้ หนูจะเลือกไปเรียนสายอาชีพ เพราะมองว่าหางานง่ายกว่า เช่น สายอาชีพฝึกงาน 2 ครั้ง จบไปสามารถเข้าทำงานได้เลย เหมือนมีประวัติการทำงานเยอะกว่าคนเรียนสายสามัญ ในขณะที่การเรียนมหาวิทยาลัย ได้ฝึกงานแค่หนึ่งปี”
การเรียนสายอาชีพที่เธอคิดว่าน่าจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า สะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าของการศึกษาแบบปฏิบัติให้พร้อมเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ปัจจุบันปุ๊กกี้กลับมาเป็นอาสาสมัครดูแลนักเรียนทุนรุ่นน้องเป็นระยะ ในฐานะ “ผู้ให้” เพราะเชื่อว่า การที่ตนเองเคยเป็นผู้โชคดีที่ได้รับทุน จึงควรตอบแทนกลับไปบ้าง
“การกลับมาเป็นอาสาสมัครให้กับมูลนิธิยุวพัฒน์ เพราะอยากทำประโยชน์ให้กับคนที่ให้เงินทุน เพราะถ้าไม่มีทุนการศึกษา ชีวิตของหนูก็คงลำบากมาก หนูเข้าใจว่าการระดมทุนเพื่อให้ได้เงินและนำมามอบให้กับเด็กที่ขาดโอกาสไม่ใช่เรื่องง่ายเลย หนูตั้งใจว่าในวันหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิต มีเงินเดือนเยอะๆ หนูจะกลับมาเป็นคนที่มอบทุนการศึกษาให้กับน้องๆ ในรุ่นต่อๆ ไป”
แม้ชีวิตจะไม่ได้สวยงาม แต่ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความหมาย ปุ๊กกี้ฝากถึงน้องๆ ที่กำลังเรียนหนังสือว่า เลือกเรียนในสิ่งที่ชอบจริงๆ และพยายามขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ เพราะการศึกษาเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างความมั่นคงให้กับชีวิต
สุดท้ายแล้วเรื่องราวของปุ๊กกี้คือหลักฐานที่ชัดเจนว่า การให้ทุนการศึกษา ไม่ใช่เพียงการช่วยให้ใครสักคนเรียนจบ แต่คือการมอบ เครื่องมือสร้างอนาคต ที่เปลี่ยนชีวิตได้จริง ทำให้คนๆ หนึ่งสามารถยืนหยัดด้วยตนเอง เลี้ยงดูครอบครัว และวันหนึ่งเขาก็อาจกลับมาเป็นผู้ให้โอกาสต่อไป